วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แนะนำ FaceBook Fan Page ของสถานที่ท่องเที่ยวอัมพวา

แนะนำ FaceBook Fan Page ของสถานที่ท่องเที่ยวอัมพวา ตลาดน้ำอัมพวา และรูปถ่ายตลาดน้ำอัมพวาสวยๆ และที่สำคัญมีโปรโมชั่นดีดีของที่พักอัมพวามาแนะนำกันอีกด้วยที่ Facebook Fan Page ของอัมพวาไกด์ดอทคอม AmphawaGuide.com

https://www.facebook.com/at.amphawaguide


วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Twitter เรื่องราวของอัมพวามากมายที่ @AmphawaGuide

แนะนำ Twitter การท่องเที่ยวอัมพวาของ AmphawaGuide.com พบกับเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับอัมพวาได้ที่
https://twitter.com/Amphawaguide

10 เหตุผลที่ควรใช้ Facebook แทน Website

Facebook เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กสำหรับให้ผู้คนมาปฎิสัมพันธ์กัน ไม่ใช่เพื่อเป็นสังคมของการช้อปปิ้ง แล้วทำไมบริษัทของเราถึงควรเสียเวลาและทรัพยากรบุคคลมาคอยดูแล Fan Page ของ Facebook ด้วยล่ะ (Fan Page คือหน้าโปรไฟล์ของบริษัท) ถึงแม้ว่าสมาชิกที่มาเป็นแฟนบริษัทหรือธุรกิจของเราไม่ได้สนใจจะซื้อสินค้าหรือบริการ แต่สิ่งที่พวกเขาก็เชื่อมโยงกับบริษัทในทางใดทางหนึ่ง เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ยอมรับว่าเป็น ‘แฟน’ ของเราแล้วไงล่ะ และการทำ Fan Page ก็มีประโยชน์มากมายหลายอย่าง มากกว่าที่เราคาดคิดเลยทีเดียว

1. Facebook เป็นช่องทางโปรโมตธุรกิจมีทั้งแบบฟรี และเสียเงิน
Fan Page ของ Faebook สามารถช่วยในการแบรนดิ้งธุรกิจของเราไปในตัว ซึ่งเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอาจมีคนอีกมากมายกลายมาเป็นลูกค้าของเราในอนาคต หรืออาจเป็นคนที่อยากร่วมงานกับเรา นักลงทุน ตลอดจนถึงสื่อที่สนใจในธุรกิจของเรา ไม่ต้องกลัวว่าการมี Fan Page จะยุ่งยากหรือจำกัดเพราะคนที่มี Facebook เท่านั้นถึงจะสามารถเข้าชม Fan Page ของเราได้ เพราะ Fan Page เปิดให้ทุกคนเข้ามาอ่านหรือดูโปรไฟล์ธุรกิจได้โดยที่ไม่ต้องเป็นสมาชิก ดังนั้นผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมากจึงสามารถเข้าถึงข้อมูลสินค้าหรือบริการที่เราต้องการโปรโมตได้อย่างง่ายดาย 

เคล็ดลับ: อัพเดตเนื้อหาจากเว็บไซต์หลักเข้า Fan Page ผ่าน RSS เพื่อเซฟเวลา แต่ระวังอย่าให้มีเนื้อหาที่ชี้ชวนหรือโฆษณาขายจนเกินไป

2. คนกด Like Fan Page มากขึ้น

Facebook อนุญาตให้ใส่ลิงก์เว็บไซต์บริษัทหรือธุรกิจได้ ดังนั้นผู้ที่เข้ามาชมหน้า Fan Page ใน Facebook ซึ่งสนใจและอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทหรือสินค้าบริการของเรามากขึ้นก็สามารถคลิกลิงก์ไปยังเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของบริษัทได้เลยทันที นอกจากนี้ก็อย่าลืมใส่ Facebook Widget ซึ่งจะช่วยให้คนที่เข้ามายังเว็บไซต์สามารถคลิกเข้าไปเยี่ยมชมและมากด Like เป็นแฟนในหน้า Fan Page ได้เช่นกัน เมื่อเราทำทั้ง 2 อย่างนี้แล้ว ทั้งงเว็บไซต์และ Fan Page ก็จะสามารถช่วยโปรโมตกันและกันได้

เคล็ดลับ: เปลี่ยนสถานะจากผู้ใช้ Facebook เป็นแฟนผลิตภัณฑ์และจากแฟนเป็นลูกค้า ผ่านการโปรโมตเว็บไซต์ด้วย Fan Page 

3. เพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO

การมีเนื้อหาเกี่ยวกับบริษัทของเีรากระจายอยู่ในหลายๆ เว็บไซต์จะช่วยทำให้การค้นหาผ่าน search engine อย่าง Google มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ทำให้คนค้นเจอเว็บไซต์ของเราได้มากและเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Social Search บริการใหม่จาก Google ยังช่วยให้ผู้ค้นหาสามารถอ่านความเห็นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเราได้ทันทีจากหน้าแสดงผลการค้นหา การลิงก์ Fan Page เข้ากับเว็บไซต์หลักจึงเป็นวิธีที่เปี่ยมประสิทธิภาพในการช่วยต่อยอดจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้อีกทางหนึ่ง

4. สร้างคอมมูนิตี้ผู้บริโภคหรือกลุ่มลูกค้าได้ง่ายและไม่ต้องเสียเงิน

Fan Page ถือเป็นอีกทางเลือกในการทำให้กลุ่มลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมกับเว็บไซต์หลักของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์มากขึ้น นอกจากนี้เรายังสามารถโพสต์ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ และอื่นๆ ลงบนโปรไฟล์ Facebook เพื่อแชร์ให้บรรดาแฟนๆ ของสินค้าและบริการได้ชมอีกด้วย ที่สำคัญเรายังสามารถพูดคุยกับลูกค้า ถามคำถาม ความคิดเห็น ความพึงพอใจ และอื่นๆ อีกมากมาย ช่วยให้เราสามารถพัฒนาหรือต่อยอดผลิตภัณฑ์ สินค้า หรือบริการจากความคิดเห็นของผู้บริโภคได้อีกด้วย

5. Facebook เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้โดยตรง

ถ้าสมาชิกคนนั้นเป็นแฟนของ Fan Page เราใน Facebook แล้ว เราก็สามารถส่งข้อความถึงพวกเขาได้โดยตรง ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะส่งให้ใครบ้าง เช่น หากคุณทำกิจกรรมในจังหวัดหนึ่ง เราก็สามารถเลือกส่งข้อความเชิญชวนให้เฉพาะแฟนที่อยู่ในจังหวัดนั้นๆ ให้มาร่วมกิจกรรมชิงรางวัลกับสินค้าหรือบริการของเราได้ และไม่่ใช่แค่พื้นที่เท่านั้น แต่อายุ หรือ เพศ ก็สามารถกำหนดได้เช่นกัน

6. Facebook ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

การคุยกันหรือแสดงความเห็นเล็กๆ น้อยๆ สามารถทำให้ความสัมพันธ์กับลูกค้าแกร่งขึ้น เพราะเป็นการโต้ตอบกันโดยที่ลูกค้าไม่ได้รู้สึกว่าถูกบีบบังคับให้ซื้อสินค้า แต่เป็นการคุยกันแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งจะทำให้ทัศนคติของลูกค้าต่อแบรนด์ดียิ่งขึ้น แม้ว่าจะไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นใน Facebook เลยก็ตาม แต่กว่า 90% ของผู้ใช้ Facebook คาดหวังจะเห็นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ตนเองใช้มี Fan Page

7. Facebook ช่วยสร้างพื้นที่ให้ผู้ภักดีต่อแบรนด์ได้บอกต่อ

แม้ผู้ใช้จำนวน 25% จะไม่ชอบป่าวประกาศบอกคนอื่นๆ ว่าตนเองชอบหรือใช้ผลิตภัณฑ์อะไร แต่ผู้ใช้จำนวนที่เหลืออีกมากมายพร้อมจะแนะนำหรือแสดงความชื่นชมสินค้าหรือบริการที่ตนเองประทับใจ รวมถึงบอกต่อไปยังเพื่อนๆ หรือคนรู้จักใน Facebook อีกด้วย

ฉะนั้นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าชั้นเยี่ยมแบบนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะคนกลุ่มนี้จะช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กับสินค้าโดยที่เราไม่จำเป็นต้องเสียเงินค่าโฆษณาด้วยซ้ำ

เคล็ดลับ: การโพสต์ข่าวสารข้อมูลในหน้า Fan Page หรือข้อความต่างๆ ที่เราโต้ตอบกับผู้ใช้งาน Fan Page ก็จะปรากฏบนหน้าอัพเดตของทั้งคุณและแฟนสินค้าคนนั้นด้วย ช่วยเพิ่มโอกาสให้มีคนมาเป็นแฟน Fan Page เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

8. เฝ้าจับตาดูพฤติกรรมสมาชิก

ในสังคมออนไลน์แบบ Facebook ลูกค้าและผู้บริโภคมักไม่ค่อยตั้งป้อมต่อต้านหรือแสดงอคติต่อการเข้าไปทำการตลาดของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง พวกเขามีแน้วโน้มที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการหรือประสบการณ์ทั้งที่ดีและไม่ดีต่อธุรกิจของเราหรือของคู่แข่ง ซึ่งหากเราให้ความสำคัญหรือใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้และสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้ เราก็จะได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นๆ โดยปริยาย

เคล็ดลับ: Fan Page มาพร้อมหน้าถาม-ตอบอยู่แล้ว เราสามารถใช้ส่วนนี้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการสนับสนุนให้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ เช่น ส่วนที่อยากให้ปรับปรุงสินค้า เป็นต้น

9. Facebook มีเครื่องมือวัดผลที่แม่นยำ

ถ้าอยากรู้ว่า Fan Page ได้รับการตอบรับมากแค่ไหน Facebook ก็มีบริการ Page Insights ซึ่งเป็นเครื่องมือรายงานและวัดสถิติ เช่น มีคนเข้ามาคอมเมนต์หรือโพสต์ข้อความมากน้อยขนาดไหน รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับแฟนๆ ของ Fan Page ด้วยว่าอายุเท่าไร เพศอะไร ภูมิลำเนาอยู่แถวไหน ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถทำการตลาดโดยเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น

เคล็ดลับ: อย่าลืมนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ในการสร้างสารที่เหมาะสมและส่งไปยังกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของสินค้าหรือบริการไดุ้ถูกต้อง เพื่อนำไปสู่เป้าหมายทางการตลาดที่ตั้งไว้

10. ไล่ตามคู่แข่งทัน

ถ้ายังคิดว่า Fan Page ไม่จำเป็นสำหรับธุรกิจอยู่ล่ะก็ ลองมองด้านการแข่งขันดูบ้าง อย่าลืมว่าถ้าคู่แข่งของเราทำ Fan Page ซึ่งมีจำนวนแฟนๆ มากมายและมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับกลุ่มลูกค้าจนความสัมพันธ์เหนียวแน่นจนไม่เหลือที่ว่างให้ธุรกิจของเรา แล้วแบบนี้เราจะมัวรออะไรอยู่อีก เริ่มทำ Fan Page ใน Facebook ตั้งแต่วันนี้เพื่อความได้เปรียบในตลาดและก้าวเป็นหนึ่งในสังคมออนไลน์


CR :  incquity.com

ชมไป หิวไป พิพิธภัณฑ์ขนมไทย หวานใจอัมพวา

"ขนมหวานแม่เอ๊ย ขนมหวาน มาแล้วจ้า ลอดช่องกะทิแตงไทย สาคูเปียก รวมมิตร จ้า" เด็กสมัยใหม่ได้ยินแล้วคงพอเข้าใจแต่อาจนึกภาพตามไม่ออกว่า ถ้าไม่ไปเดินเที่ยวห้างหรือวิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยแล้วจะร้องหา "ขนมหวานเดลิเวอรี่" ได้จากไหน อย่างดีที่พอจะเห็นบ้างก็รถขายไอศกรีม แต่ก็เป็นโคนรสชาติใหม่สีสันสดใสราคาหลายสิบบาท หรือไม่ก็แท่งสวยๆ ลายแปลกๆ ใหม่ๆ ไม่ใช่ไอศกรีมกะทิสดหรือไอศกรีมตัดแบบดั้งเดิม
เมืองไทยนี้มีของดีเหลือคณานับตามความอุดมสมบูรณ์แต่ดั้งเดิม ไม่อย่างนั้นแล้วอาหารการกินของเราคงไม่เลื่องลือติดอันดับโลก อาหารไทยขึ้นชื่อว่าเด่นดัง แต่ขนมไทยก็ยังเด็ดดวงไม่แพ้กัน แถมยังมีประวัติความเป็นมาน่าสนใจ บางเรื่องก็สนุกสนานผจญภัยเหมือนท่องไปในจินตนาการ แล้วจะไม่ให้ขนมไทยของเรามีเสน่ห์ได้อย่างไรกัน อัมพวา เมืองตลาดน้ำวิถีชุมชนเก่าของสมุทรสงครามที่เรารู้จักกันดี จึงมีไอเดียนำเสนอประวัติศาสตร์ไทยผ่านอาหารคาวหวานอันเลื่องลือ ในชื่อ พิพิธภัณฑ์ขนมไทย โดยภาคเอกชนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสืบสานอนุรักษ์ขนมไทยให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จัก และส่งเสริมให้คนไทยได้หวงแหนในคุณค่าของขนมไทยอันเลื่องชื่อ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ใช้พื้นที่บริเวณชั้น 2 ของอาคารอเนกประสงค์เทศบาลตำบลอัมพวามาเป็นห้องจัดแสดง สีสันของพิพิธภัณฑ์ก็อยู่ตรงที่เขานำเอาวัสดุเรซินมาประดิดประดอยเป็นรูปทรงขนมหวานต่างๆ ที่ดูเหมือนจริงมาก ฉะนั้นใครเข้าไปชมก็สามารถหยิบจับถ่ายรูปได้ เพียงแต่เอาใส่ปากรับประทานไม่ได้เท่านั้นเอง
เมื่อมาถึงที่นี่แล้วจะพบกับความละลานตาของกองทัพขนมไทย (เทียม) ที่แบ่งหมวด แบ่งโซน ตามยุคสมัยถือกำเนิดและตามประเพณีวัฒนธรรมการกินของคนไทยรุ่นก่อนๆ ไล่เรียงมาตั้งแต่ สมัยสุโขทัย ซึ่งถือเป็นยุคแรกที่คนไทยได้รู้จักกับขนม ในศิลาจารึกได้มีการบันทึกเกี่ยวกับขนมว่า เป็นอาหารที่มีข้าวและนมเป็นส่วนผสมหลัก หรือบางครั้งก็มีน้ำกะทิเป็นกระสายชูรสชาติ เมื่อข้าวและนมพ้องกันนานเข้าจึงถูกเรียกติดปากว่า "ขนม" ไปโดยปริยาย ขนมไทยดึกดำบรรพ์ที่ในยุคถือกำเนิดนั้นมี 4 ชนิด คือ ไข่กบ หรือเมล็ดแมงลัก, นกปล่อย หรือลอดช่อง, บัวลอย หรือข้าวตอก และ อ้ายตื้อ หรือข้าวเหนียว มักใช้รับรองเจ้านายหรือจัดอยู่ในสำรับในประเพณีต่างๆ เรียกอีกอย่างว่า "ประเพณีสี่ถ้วย"
ถัดมาอีกมุม จะเป็นยุคของสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นยุคที่เริ่มรับเอาวัฒนธรรมการปรุงขนมจากชาติยุโรป และถือเป็นยุค "จุดเปลี่ยน" ของวงการขนมไทยครั้งใหญ่ เมื่อแหม่ม มารี กีมาร์ เดอ ปิญญา หรือที่คนไทยสมัยนั้นเรียกว่า "ท้าวทองกีบม้า" สตรีเชื้อสายโปรตุเกส หัวหน้าห้องต้นเครื่องในราชสำนักที่ตามครอบครัวมาตั้งรกรากในเมืองไทยเป็นผู้คิดค้น โดยท้าวทองกีบม้านำอิทธิพลการทำอาหารจากโปรตุเกสที่มีส่วนผสมของ น้ำตาล แป้ง ไข่ และมะพร้าว เข้ามาเป็นส่วนผสมสำคัญ หน้าตาของขนมไทยยุคนั้นจึงเปลี่ยนแปลงไปตามความคิดสร้างสรรคอันเป็นเลิศ ไม่ว่าจะเป็น ฝอยทอง สังขยา หม้อแกง ขนมผิง อันเป็นตำนานความ "คลาสสิค" ที่ยังตกทอดมาถึงรุ่นเราในทุกวันนี้
และอีกมุมที่จัดแต่งไว้อย่างงดงามและเพลิดเพลินตาที่สุด น่าจะเป็นมุมของ ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวอัมพวาดั้งเดิมจะมีความผูกพันกับยุคนี้มาก เพราะมีหลักฐานอ้างอิงจาก กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่ทรงเอ่ยถึงขนมพื้นบ้านอัมพวาไว้ด้วย มุมนี้จึงไม่ได้มีให้ชมเฉพาะขนมเท่านั้น เพราะมีการนำเสนอเครื่องคาวจากบทประพันธ์ที่เราคุ้นเคยให้ชมอย่างครบถ้วน เช่น มัสมั่น (แกงแก้วตา) อีกทั้งยุคนี้ยังถือว่าเป็นยุคที่การทำขนมไทยมีความวิจิตรงดงามและอาศัยฝีมือมากขึ้น ใครมาชมมุมนี้ก็จะได้ความรู้เกี่ยวกับขนมหน้าตาสวยงามที่หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อ เช่น มัศกอด, รังไร หรือขนมลำเจียก ซึ่งปัจจุบันแทบจะหาทานทั่วไปได้ยาก นอกจากมาที่อัมพวาซึ่งยังพอจะเห็นขนมไทยในตำนานเหล่านี้มีวางขายที่ตลาดน้ำให้ได้ซื้อหามาชิมกัน

ความหลากหลายของขนมไทยยังรวมไปถึงขนมในยุคที่เป็นปัจจุบันขึ้นมาอีกนิด เช่น ขนมโหล ขนมแห้งที่เก็บไว้กินได้นาน เช่น ฟักเชื่อม มะตูมเชื่อม ขนมโก๋ ขนาบข้างด้วยซุ้ม น้ำแข็งไส ที่จัดเครื่องเคียงเรียงรายอยู่ในโถแก้ว ดูสมจริงจนชวนให้น้ำลายสอ และ ขนมรถเข็น หรือขนมถาด ที่เรามักจะเคยเห็นตอนค่ำๆ มุมนี้ก็นำเอารถเข็นของจริงพร้อมถาดขนมมาจัดแสดงให้เห็นถึงที่มาที่ไป เรียกได้ว่ามีทั้งส่วนที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ในตำนานของขนมไทย ไปถึงส่วนที่สะท้อนวัฒนธรรมการกิน การทำ และการนำเสนอขนมไทยที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในรายละเอียดที่ครบถ้วนทีเดียว
พิพิธภัณฑ์ขนมไทยแห่งนี้ไม่มีค่าเข้าชม โดยเปิดให้ชมฟรีในวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. - 19.00 น. ทั้งนี้ก็อยากจะขอความร่วมมือให้ผู้เข้าชมช่วยกันรักษาความสวยงามของตัวขนมที่นำมาจัดแสดง เพราะบางส่วนก็ผ่านการสัมผัสมามากจนดูทรุดโทรม ผู้จัดทำอุตส่าห์มีความตั้งใจให้คนไทยทุกคนได้เข้าชมโดยไม่เก็บสตางค์ ก็ขอให้ชมอย่างสร้างสรรค์ เพื่อที่จะได้มีของโชว์สวยๆ สมบูรณ์แบบไว้ให้คนอื่นๆ ได้ชื่นชมต่อไปนานๆ
ส่วนใครที่แวะมาชมอาหารทางตาในพิพิธภัณฑ์แล้วเริ่มรู้สึกไม่ไหว พาลให้โหยหาอาหารอร่อยๆ มาเติมกระเพาะ ก็เพียงเดินลัดเลาะออกไปยังตลาดน้ำอัมพวาที่คุ้นเคย ก็จะได้อิ่มท้อง และอย่าลืมที่จะซื้อของฝากรสเลิศกลับบ้าน ถือเป็นการจบทริปอิ่มหมีพีมัน ณ อัมพวาอย่างสมบูรณ์แบบ


วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บทความ Google ไม่ใช่องค์กรการกุศล คุณอยู่ได้ไหมโดยไม่มีGoogle...?

เอเจนซีส์– ในตอนเช้าวันหนึ่งของพฤหัสบดีที่ผ่านมาไม่นานนี้ ผมล๊อกออนเพื่อเช็คอีเมลและต้องงงเป็นไก่ตาแตก แทนที่มันจะขึ้นกล่องรับจดหมายอีเมล (Inbox)ของ โปรแกรม Gmail บนหน้าจอ Googleกลับขึ้นข้อความบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของผมแทนว่า “ขณะนี้แอคเค้าท์ของท่านได้ถูกระงับการใช้งาน Shocked จากปัญหาส่วนใหญ่ที่emailแอคเค้าท์ถูกระงับการใช้งาน เพราะเราเชื่อว่าท่านได้ละเมิดข้อตกลงการใช้บริการ หรือข้อตกลงการใช้ตัวจดหมายอีเล็กทรอนิกหรือ EMAIL หรือเกี่ยวกับนโยบายของ GMAIL ซึ่งในอนาคตแอคเค้าท์ของท่านอาจจะยังคงรักษาสภาพใช้งานได้ตามปกติ”
     
       เมื่อ GMAIL แอคเค้าท์ของผมถูกระงับการใช้งานชั่วคราว ผมรู้สึกเหมือนถูกผู้หญิงทิ้ง   wanwan006
     
       ผมรู้สึกราวกับว่าโดนทิ้ง ถูกใครซักคนบอกเลิกรักผ่านทาง SMS ส่งไปหาผมที่เมืองคาโบ ประเทศเม็กซิโก ความรู้สึกตกอกตกใจทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ผมเฝ้าอ่านเงื่อนไขข้อตกลงการใช้งานแต่มันก็ไม่ช่วยอะไรผมมากนัก ไม่มีเบอร์โทรฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือให้ติดต่อ ไม่มีช่องทางที่ผมจะขอความช่วยเหลือได้ ผมเจอปัญหาเข้าอย่างจริงๆจังๆซะแล้วโดยไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหน ดังนั้นผมจึงลงมือกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มและส่งกลับเข้าเครือข่ายGoogle ความผิดพลาดตรงไหนกันแน่ที่ผมทำขึ้น? ผมได้เพิกเฉยคำเตือนจากGoogleงั้นเหรอ ? Googleยังต้องการผมอยู่อีกหรือปล่าว ?
     
       ความพยายามครั้งล่าสุดของGoogleในการดันยอด ผู้ใช้บริการemail Google พลัส สูงถึง343 ล้านบัญชี (ถึงแม้ว่าตัวเลขที่แน่นอนจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงๆนั้นจะน้อยกว่านั้นก็ตาม ) และให้บริการกว่า 130 ภาษาทั่วโลก อย่างไรก็ตามGoogleคงกลัวเหล่าบรรดาผู้ใช้บริการจะหลงรักมากเกินไป จึงจำกัดช่องทางการติดต่อฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ของบริษัท ผมโทรศัพท์ติดต่อGoogleไปที่ เมืองเมาท์เทนวิว แคลิฟอร์เนีย ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ ผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองหลงเข้าไปในวังวนเขาวงกตของข้อความตอบรับทางอัตโนมัติทางโทรศัพท์ และในท้ายที่ที่สุดผมก็ถูกตัดสายทิ้งด้วยคำพูด “ขอบคุณลาก่อน” ในช่วงเวลาหลายนาทีที่ผมไม่มีGoogle ทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าผมคงอยู่ไม่ได้โดยปราศจากมัน ผมไม่สามารถทำงานให้เสร็จหรือคำนวนภาษีได้ เพราะข้อมูลต่างๆ ตลอดจนรายการค่าใช้จ่ายล้วนเก็บไว้ใน Google drive พื้นที่เก็บข้อมูลอิเลกทรอนิกส่วนตัวผ่านระบบอินเตอร์เนตของGoogle ผมไม่สามารถล่วงรู้ถึงตารางงานที่เหลือค้างอยู่ เพราะปฎิทินGoogleส่วนตัวของผมหายไป และแน่นอนที่สุด ผมไม่สามารถป่าวประกาศให้โลกรู้ถึงปัญหาที่ผมประสบอยู่เพราะบล๊อกออนไลน์ส่วนตัวของผมไม่มีอยู่ซะแล้ว อัลบัมรูปภาพของผมหายไป รายชื่อและข้อมูลติดต่อคนรู้จักของผมหายไปรวมทั้งบัญชีเครดิตโทรศัพท์ออนไลน์ผ่านโปรแกรมGoogleว๊อยส์ มิเช่นนั้นผมคงได้โทรไปปรับทุกข์เสียน้ำตากับเพื่อนแล้ว
     
       ในที่สุด ผมหันเข้าหาเฟสบุคที่พึ่งสุดท้าย ถามเพื่อนที่ทำงานอยู่ที่Googleเพื่อขอความช่วยเหลือ การอาศัยในBay Area ที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้ผมมีเพื่อนที่ทำงานในบริษัทGoogleอยู่มากพอสมควร แต่คงเป็นเพราะอาณาจักรGoogleมันใหญ่มากจนเกินไป เลยไม่มีใครซักคนรู้ว่าจะต้องเริ่มต้นที่ไหน คนนึงบอกให้ไปหาหน่วยงานด้านนโยบาย อีกคนกลับบอกไปแผนกแอคเค้าท์ผู้ใช้บริการ แต่ทุกคนต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่ากรณีปัญหาของผมมันเกิดยากมาก
     
       แต่จริงๆแล้วผมกล้าพนันได้เลยว่ามันคงไม่เคยเกิดขึ้นเลย และแน่นอนที่สุด ปัญหาของผมมันเกิดขึ้นก็ตอนผมย้ายงานตลอดจนโน๊ตและข้อมูลสำคัญต่างๆมาที่ “คลาวด์” เซิร์ฟเวอร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์สำหรับที่เก็บข้อมูลอิเลกทรอนิกผ่านระบบอินเตอร์เนตเพราะคิดว่ามันปลอดภัยมากกว่า แต่หลังจากปัญหาเกิดขึ้น ทำให้ผมคิดได้ว่าบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 50 พันล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายเล็กๆที่ชัดเจนอย่าง “พร้อมจัดการข้อมูลของคนทั้งโลก” กลับจำกัดจำเขี่ยด้านการจัดการ อย่างไรก็ตาม มันชัดเจนมากที่Googleใช้ข้อมูลของผม เพราะผมคิดว่าผมสามารถไว้ใจGoogleที่จะรักษาข้อมูลไว้ และ”คืนมันกลับมาให้ผม”
     
       ในความเป็นจริง ผมกลับพบว่าGoogleไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบความเสียหายต่อข้อมูลของผู้ใช้และดูเหมือนว่าไม่มีกฎหมายข้อไหนบัญญัติไว้ ในข้อความที่แจ้งผมถึงการระงับการใช้อีเมลแอคเค้าท์ Googleบอกผมเป็นครั้งแรกว่า Googleขอสงวนสิทธิ์ที่จะ “ระงับการให้บริการใช้อีเมลของท่านเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่ต้องบอกเหตุผลหรือแจ้งล่วงหน้าให้ทราบ” ในข้อตกลงการใช้งาน Googleได้จำกัดจำนวนมูลค่าที่บริษัทต้องชดใช้ต่อความเสียหายของผู้ใช้บริการในกรณีย์ที่ข้อมูลโดนขโมย ข้อมูลหายไป หรืออื่นๆ “เท่ากับจำนวนเงินที่ผู้ใช้บริการจ่ายค่าใช้บริการในแต่ละเดือน” (ใช่ทั้งหมดพิมพ์เป็นตัวหนา) ซึ่งก็เท่ากับว่าGoogleต้องชดใช้แค่ 2.49 ดอลลาร์ ในการเก็บข้อมูลมากกว่า 25 GB บนเครือข่ายของGoogleในแต่ละเดือน หรือในกรณีย์ของผม เท่ากับว่า”ไม่ได้อะไรเลย”
     
       Googleไม่เพียงสงวนสิทธ์ที่จะไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลในการเอาข้อมูลผู้ใช้บริการไป หรือทำให้มันหายไป แต่Googleยังถือสิทธิ์ระงับการใช้บริการของผู้ใช้ หรือการเข้าถึงตัวผลิตภัณฑ์ของGoogleเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่Googleต้องการ ซึ่งจริงๆแล้วคุณคงคาดไม่ถึงว่าGoogleจะทำบ่อยมากกว่าที่คุณคิด และเหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้น ที่ Google Reader หนึ่งในการให้บริการจากGoogleหยุดให้บริการ ทิ้งกลุ่มแฟนผู้อ่าน RSS ที่ผมยังไม่แน่ใจว่าเฟสบุ๊กจะแทนที่ได้ปล่าว
     
       ผมตกอยู่ในสภาวะที่ต้องเผชิญความจริงอันน่าเจ็บปวดของโลกไซเบอร์และยุคเริ่มต้นของการให้บริการของเซอร์เวอร์ คลาวด์ว่า พวกเราเป็นแค่ผู้ใช้บริการและไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่านั้น ไม่ว่าพวกเราจะอุทิศแรงกายแรงใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทหรือระบบเครือข่ายข้อมูลที่ทำให้ระบบอินเตอร์เนทเป็นไปได้ พวกเราผู้ใช้บริการสามารถถูกเขี่ยทิ้งอย่างง่ายดาย(จากGoogle) หน้าที่หลักของGoogleคือป้องกันไม่ให้ข้อมูลตกอยู่ในมือ”คนผิด” แต่Googleไม่เคยทำให้มั่นใจเลยว่า”คนถูก”จะใช้งานข้อมูลตัวเองได้ตลอดเวลา
     
       ผมเองสงสัยว่าผู้ใช้บริการอย่างเราๆ จะพึ่งพิงกฎหมายได้อย่างไรบ้าง การธนาคารและการลงทุนเป็นสองอย่างที่ผมนึกถึงเป็นอันดับแรก เพราะสองอย่างนี้อยู่ในระหว่างการปรับปรุงข้อบังคับใช้ ในตอนแรก ตัวอย่างเปรียบเทียบนี้ดูเหมือนมันจะใช้ได้ เพราะในทางเดียวกันกับที่เราฝากเงินกับธนาคารหรือโอนเงินเข้าพอร์ทการลงทุนโดยผ่านโบรกเกอร์ เราฝากข้อมูลเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของGoogleและอนุญาตให้กูลเกิลใช้ข้อมูล เราหวังเพียงความสเถียรของระบบในการเข้าถึงแอคเค้าท์ แต่กลับกันที่ผมพบว่าGoogleถือประโยชน์บริษัทเหนือกว่าประโยชน์ผู้ใช้บริการอย่างผม ในทางตรงกันข้าม ภายใต้กฎหมายการเงินการธนาคารเกือบทุกมลรัฐทั่วสหรัฐฯ ธนาคารมีสิทธิ์ยกเลิกการให้บริการด้านการเงินกับผู้ฝากได้ แต่ธนาคารต้องคุ้มครองเงินฝากลูกค้าโดยถือเอาผลประโยชน์ผู้ฝากเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามเงินฝากจะถูกคุ้มครองไม่ใช่ด้วยตัวกฎหมายแต่เป็นธนาคารกลางสหรัฐฯเป็นผู้ค้ำประกันเงินฝากในกรณีที่ธนาคารลอยแพลูกค้า
     
       ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายทางเทคโนโลยี ซูซาน คราวฟอร์ด เสนอทางออกในการหาความเป็นธรรมสำหรับข้อบังคับห้กับผู้ใช้บริการในโลกสื่อสารไร้พรมแดนในหนังสือเล่มใหม่ของเธอ “ผู้บริโภคที่ไม่มีทางเลือก: อุตสาหกรรมเทเลคอมและระบบการผูกขาดในยุคทองของโลกไซเบอร์” ตามแนวความคิดที่ว่าในปัจจุบันนี้การเข้าถึงระบบอินเตอร์เนตนั้นมีความจำเป็นมากเท่าๆกับการเข้าถึงระบบสาธารณูปโภคเช่น น้ำประปา ไฟฟ้า และระบบโทรศัพท์ที่ทรงพลัง ดังนั้นจึงเห็นควรมีข้อบังคับเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่าทุกคนมีโอกาศเข้าถึงระบบอินเตอร์เนต
     
       ในขณะเดียวกัน นักวิจารณ์แย้งว่าโมเดลระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานไม่เหมาะกับการเปรียบเทียบกับการเข้าถึงอินเตอร์เนต ผมกลับหาข้อที่เหมือนกันระหว่างระบบสาธารณูปโภคกับการเข้าถึงอินเตอร์เนตได้ อย่างเช่นการที่บริษัทผลิตน้ำประปามีข้อตกลงที่ต้องจ่ายน้ำให้เรา และต้องมีการเตือนล่วงหน้าหากจำเป็นต้องหยุดจ่ายน้ำ ผู้ให้บริการอินเตอร์เนตหรือ ISP ก็เช่นกัน
     
       Googleดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผูกขาดระบบอินเตอร์เนต ไม่ใช่นอกเมือง แคนซัสซิตี แน่นอน แต่ถึงแม้จะอยู่ในโลกอนาล็อกสิ่งที่เราต้องการต่อเชื่อมสำคัญมากเท่าๆกับเราเชื่อมกับอะไร ย้อนกลับไปในปี 1949 เมื่อบริษัท AT&T ควบคุมธุรกิจการสื่อสารแบบเบ็ดเสร็จ (ผู้ใช้บริการต้องจ่ายเพิ่มในกรณีย์ที่ไม่ได้ใช้เครื่องโทรศัพท์ที่เป็นสินค้าของ AT&T) รัฐบาลสหรัฐฯหาทางเลิกการผูกขาดที่มากไปกว่านั้น รูปแบบการสื่อสารไม่ว่าจะอยู่ในรูปมีสายหรือไร้สายล้วนแต่สำคัญทั้งนั้น นี่อาจเป็นความล้มเหลวทางกฎหมายที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลากาภิวัฒน์แทนที่จะเป็นสิ่งยืนยันว่าโลกยุคดิจิตอลทำกับเราเป็นแค่ผู้ใช้งาน
     
       ในขณะนี้ที่เป็นไปได้ เราต้องสมดุลย์ระหว่างการควบคุมแบบเบ็ดเสร็จที่Googleที่จะทำให้ข้อมูลของผู้ใช้บริการอย่างเราๆ หายไป หรือไม่ให้เราเข้าใช้งานชั่วคราวและกับการตกอยู่ในการครอบงำของกูลเกิลที่โฆษณาถึงการบริการที่ยอดเยี่ยมซึ่งเป็นอย่างเดียวที่จะดึงดูดลุกค้าอย่างเราไว้ได้ ผมไม่แน่ใจว่ามันจะยังดีพอหรือยังสำหรับผม ธุรกิจ 5 ล้านราย หรือ 45 มลรัฐ ที่จำเป็นต้องพึ่งGoogle โดยเฉพาะในกรณีที่ยิ่งมีจำนวนลูกค้ามากขึ้น ความสำคัญของผู้ใช้บริการเฉพาะเจาะจงต่อGoogleยิ่งน้อยลง
     
       ในกรณีที่คุณยังสงสัยอยู่ว่าเรื่องราวของผมมันจบลงยังไง ในท้ายที่สุด ก่อนวันจันทร์ Googleเดินเรื่องให้ผม และในตอนเช้าวันอังคาร 6วันหลังจากผมไม่สามารถเข้าระบบอีเมลของตัวเองได้กลับคืนสู่สภาพเดิม
     
       งาน Spreadsheet ฐานข้อมูลลูกค้า ที่ผมทำค้างเอาไว้ยังอยู่เหมือนเดิม ดูเหมือนว่าผู้ดูแลระบบของGoogleคิดว่ามีเอกสารบางอย่างของผมที่อาจละเมิดนโยบายและทำการล็อกแอคเค้าท์ของผมทั้งหมดไม่ให้ใช้งานได้ คำขอที่จะเอาข้อมูลชิ้นนั้นคืนยังถูกแขวนอยู่
     
       หลังจากที่ผมได้รับอนุญาตให้กลับเข้าใช้ระบบได้แล้ว ผมคลิ๊กกลับเข้าGoogleโฟลเด้อ ด้วยความรู้สึกรับผิดชอบอย่างเต็มเปี่ยมในฐานะที่เป็นผู้ใช้บริการ ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างGoogleกับผม ผมคงจะไม่รักเดียวใจเดียวกับGoogleอีกต่อไป ผมหันไปใช้บริการเครือข่ายคอมพิวเตอร์รายอื่น อย่าง เอเวอร์โน๊ต ดร็อปบ๊อก และเวิลด์เพรส เพื่อเก็บข้อมูล และ เซิร์ฟเวอร์ “คลาวด์” ของGoogleเป็นนั้นเหลือเป็นแค่พื้นที่เก็บข้อมูลสำรอง ไม่ใช่เป็นที่เก็บข้อมูลหลักอีกต่อไป ผมแลกความง่ายกับการควบคุมด้วยการเก็บข้อมูลที่สำคัญๆเอาไว้กับฮาร์ดดิสที่บ้าน
     
       และแล้วในที่สุดผมหันกลับไปคบกับอดีตหวานใจคนแรกหรือ..สมุดบันทึกนั่นเอง พวกมันเทียบไม่ได้เลยกับGoogle พวกมันไม่สามารถเก็บข้อมูลของคนทั้งโลกไว้ได้ ดังนั้นจึงมีแค่ตัวผมที่ต้องการดูข้อมูลจากพวกมัน และวิธีการเก็บข้อมูลก็ง่ายมาก ผมแค่ใช้มือจดมันลงบนสมุดเท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รีวิวร้าน "แดงอาหารทะเล แม่กลอง"

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเดินทางไปที่อัมพวาโดยในระหว่างทาง ได้แวะร้านอาหารชื่อดังของแม่กลองด้วย
คือร้านแดงอาหารทะเล แม่กลอง

โดยทริปนี้มีผู้ใจดีอุปการะจ่ายให้
จึงสบายใจ อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ

บรรยากาศในร้านก็กว้างขวาง มีที่จอดรถมากมาย
ที่ร้านมีสองชั้น เผื่อชั้นล่างคนเต็ม ก็ขยับขยายขึ้นมาทานชั้นบนกันได้
แต่บันไดทางเดินออกจะชันเสียหน่อย ใครไปกับผู้สูงอายุ ก็คงต้องช่วยกันระมัดระวัง

พอมาถึง ก็สั่งกับข้าวกันมาเต็มโต๊ะเลย
อาหารทุกอย่าง รสชาติอร่อยใช้ได้ ไม่เข้มข้นเกินไป รสกลางๆ
แต่ให้เยอะมาก



ข้าวผัดปูร้านนี้อร่อย เป็นเมนูที่มาแล้วต้องสั่ง เนื้อปูใหญ่มาก



แต่พระเอกของงานนี้ คงหนีไม่พ้นปูไข่ ที่จัดมาให้อย่างเยอะจริงๆ ไข่แน่น กินเท่าไหร่ก็แทบไม่หมดกระดอง
อาจอ่อนไปหน่อยเรื่องรสชาติของน้ำจิ้ม แต่เมื่อเทียบกับความอร่อยที่ได้รับจากไข่ปู
ต้องบอกว่าให้อภัยกันได้


โดยรวมแล้วก็ถือว่า ร้านแดงอาหารทะเล เป็นร้านที่ห้ามพลาด หากมีโอกาสแวะมาแม่กลอง
อาหารรสชาติอร่อย ถูกปากคนไทย
ในปริมาณที่อิ่มจนกินต่อแทบไม่ไหวเลย



วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วัดจุฬามณี : อัมพวา จ.สมุทรสงคราม


วัดจุฬามณี : อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

10 กรกฎาคม 2556 - วัดจุฬามณี : อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ (6-7 ก.ค. ที่ผ่านมา)
มีโอกาสได้แว๊บออกจากเชียงใหม่ มาเดินเล่นแถวอัมพวา จ.สมุทรสงคราม
ตามโปรแกรมมีช่วงอบรมกันเต็มเวลา แค่นึกๆ ก็ไม่มีโอกาสได้ออกมาเดินนอกสถานที่อบรมแล้ว
แต่โชคดีที่พอจะมีเวลาอันน้อยนิด ยังได้ไปเที่ยวชมอัมพวา กันอยู่บ้างครับ

สถานที่อื่นๆ ไว้ว่างๆ จะทำภาพมาให้ชมกัน
Blog นี้ชมวัดจุฬามณี กันก่อน ครับ



อุโบสถจตุรมุขหินอ่อน
เป็นอุโบสถจตุรมุขหินอ่อน กว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร ปูพื้นด้วยหินหยกสีเขียวจากเมืองการาจี ประเทศปากีสถาน ภายในประดิษฐานพระประธานบนฐานสูง ประดับประดาด้วยโคมไฟ บานหน้าต่างด้านนอกลงรักฝังมุกเป็นภาพตราพระราชลัญจกร ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลปัจจุบัน พระนามาภิไธยของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ และะรับรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนภาพเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นต่าง ๆ บานหน้าต่างด้านในแกะสลักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาดก




หลวงพ่อเนื่อง โกวิท อดีตเจ้าอาวาสวัดจุฬามณี

ประวัติหลวงพ่อเนื่องโกวิทโดยสังเขป
ชาติภูมิของท่านโดยสังเขปเดิมท่านชื่อ เนื่องเถาสุวรรณ เกิดวันที่๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๒ บิดามารดาชื่อนายถมยา นางตาบ อยู่ที่หมู่บ้านคลองใหญ่ อ.อัมพวา พออายุได้ ๒๒ ปี บรรพชาที่วัดบางกะพ้อม โดยมี หลวงพ่อคงธัมมฺโชโต เจ้าอาวาสวัดบางกะพ้อมเป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อแช่มวัดจุฬามณีเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้สมญานามว่า พระโกวิโก

หลวงพ่อเนื่องเคร่งศึกษาทั้งวิปัสสนากรรมฐาน และพุทธาคม โดยได้เรียนจากพระอาจารย์ทั้งสอง จนแตกฉาน และได้จำพรรษาที่วัดจุฬามณีต่อมา จนได้เป็นเจ้าอาวาส ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระครูโกวิทสมุทรคุณ

มีเรื่องน่าอัศจรรย์ว่าทั้งปีท่านสรงน้ำเพียง ๑ วันเท่านั้น ดังนั้น ศิษยานุศิษย์ที่เคารพนับถือจึงแห่แหนกันมาในวันสงกรานต์อย่างเนืองแน่น น่าประหลาดที่ร่างกายของท่านกลับไม่มีกลิ่น และเหงื่อไคลแต่อย่างใด


บริเวณฝาผนังโดยรอบพระอุโบสถ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติและนิทานชาดกที่ปราณีตงดงาม ฝีมือของจิตรกรหญิงนิตยา ศักดิ์เจริญ ซึ่งใช้เวลาในการวาดนานถึง 6 ปี






























ท้าวเวสสุวรรณ เป็น เทพแห่งขุมทรัพย์ เป็น มหาเทพแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง รักษาสมบัติของเทวโลก ทั้งเป็นเจ้านายปกครองดูแลพวกยักษ์ ภูตผีปีศาจทั้งปวง (ในคัมภีร์เทวภูมิ กล่าวไว้ว่า ท้าวเวสสุวรรณได้บำเพ็ญบารมี มาหลายพันปี รับพรจาก พระอิศวร พระพรหม ให้เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ) นอกจากนี้หน้าที่ของท้าวเวสสุวรรณมีมากมาย เช่น การดูแลปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา, ปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นต้น




คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ (ผู้ใดหวัง ความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูป ท้าวเวสสุวรรณ)

จุดธูป 9 ดอก ดอกกุหลาบแดง 9 ดอก
ตั้ง นะโม 3 จบ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์

ปุตตะ กาโม ละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
อัตถิกาเย กายะญายะ เทวานัง ปิยะตังสุตตะวา
อิติปิโส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ
มรณังสุขัง อะหังสุคะโต นะโมพุทธายะ
ท้าวเวสสุวรรณโณ จตุมหาราชาชิกา ยักขะพันตา ภัทภูริโต
เวสสะ พุสะ พุทธัง อรหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ




ด้านนอกยังพอมีดอกบัวให้ถ่ายภาพมาชมกันปิดท้าย blog นี้ด้วยครับ

















มาเที่ยวชมวัดจุฬามณี แบบที่ไม่มีอยู่ในสคริปท์ และก็ไม่เคยทราบประวัติของวัดนี้มาก่อน พอมาได้อ่านประวัติของวัดแล้ว มีเขียนเล่ากันไว้ว่า มาวัดจุฬามณี จะต้องนึกถึง 3 สิ่งที่อยู่คู่กับวัดนี้ สิ่งแรกก็คือ สังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงพ่อเนื่อง โกวิท อดีตเจ้าอาวาสผู้ทรงอภิญญา สิ่งที่สองก็คือ อุโบสถจตุรมุขหินอ่อนที่มีความงดงามรวมไปถึงจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ และสิ่งสุดท้ายก็คือองค์ท่านพ่อท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวเวสสุวัณ ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ที่นับถือองค์ท้าวเวสสุวรรณนั้นไม่ควรพลาดที่จะไปขอพร

พอได้อ่านกันแบบนี้ และ ได้ถ่ายภาพทั้ง 3 สิ่งนี้มาด้วย ชวนให้ดีใจเหมือนกัน

อ้อ แอบเพิ่มอีกอย่างก่อนที่จบ blog อย่าลืมชิมขนมทองม้วนสูตรโบราณ ที่บริเวณถนนทางเข้าวัดจุฬามณี กันด้วยครับ

อย่าลืมไปเที่ยวอัมพวา หาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวอัมพวาไได้ที่ AmphawaGuide.com


ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=abird&month=10-07-2013&group=38&gblog=28




จนท.ลงพื้นที่สมุทรสงครามจับตัวเงินตัวทองได้กว่า 600 ตัว

  เจ้าหน้าที่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงพื้นที่สมุทรสงครามตั้งแต่เช้ามืด เพื่อจับตัวเงินตัวทอง ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่มีอยู่อย่างชุกชุม บริเวณป่าชายเลนเขายี่สาร หมู่ 2 ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จับได้ทั้งหมด 641 ตัว หลังจากที่ตัวเงินตัวทองได้แพร่ขยายพันธุ์ และเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริเวณดังกล่าวนั้นมีสัตว์น้ำชุกชุม รวมทั้งมีบ่อกุ้ง บ่อปลาของชาวบ้านที่เลี้ยงไว้ ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน จากการที่ตัวเงินตัวทองนั้น ลงไปกินกุ้งและปลาในบ่อ
        การจับตัวเงินตัวทองครั้งนี้ สามารถที่จะลดปริมาณของตัวเงินตัวทองในพื้นที่ได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดนั้นจะถูกนำไปปล่อยในป่า บริเวณสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาสน อ.จอมบึง จ.ราชบุรีต่อไป

วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

“เป็นลูกจ้าง ไม่มีวันรวย” ........คุณไม่มีวันรวยจริงถ้ามัวแต่ทำงานให้คนอื่น...

ไปอ่านเจอมาครับเห็นน่าสนใจดีเลยเอามาแบ่งปัน

คุณไม่มีวันรวยจริงถ้ามัวแต่ทำงานให้คนอื่น... อ้าวถ้าทุกคนเป็นเถ้าแก่กันหมด แล้วเถ้าแก่จะหาแรงงานมาจากไหนล่ะ


         Jeff Haden มีบทความเรื่อง คนรวย รวยได้ไง (How the Rich Got Rich) มีการสรุปผลสำรวจของสรรพากรสหรัฐประจำปีที่สอบถามผู้เสียภาษี 400 คนที่ขอภาษีคืนสูงที่สุด (กลุ่มนี้มีรายได้เฉลี่ยต่อคนในปี 2009 เท่ากับ 202.4 ล้านดอลลาร์)   ได้ผลออกมาว่า พวกเขารวยเพราะ

         9%     เป็นลูกจ้าง
         7%      ได้ดอกเบี้ย
         13%    ได้เงินปันผล
         20%    เป็นเจ้าของกิจการหรือร่วมหุ้นทำกิจการ
         46%    ได้กำไรในการลงทุนในหลักทรัพย์ (Capital gain)

         งานวิจัยนี้ระบุว่า 400 คนในงานสำรวจนี้ ได้เงินจากกำไรในการลงทุนในหลักทรัพย์ (Capital gain) เฉลี่ยต่อคนถึง 92.6 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 16% ของ Capital Gain ที่ผู้เสียภาษีทั้งสหรัฐได้รับเลยทีเดียว Jeff Haden จึงสรุปว่า 

         1. การเป็นลูกจ้างอย่างเดียว ไม่มีวันรวย 
         2. การลงทุนโดยไม่ยอมรับความเสี่ยงเลย ไม่มีวันรวย
         3. การลงทุนในหุ้นบริษัทใหญ่ๆ อย่างเดียว ก็ไม่ทำให้รวย
         4. การเป็นเถ้าแก่ ไม่ว่าจะบริษัทเดียวหรือหลายๆ บริษัท ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว หรือเป็น หุ้นส่วน ทำให้รวยจริง 

         อ่านมาถึงตรงนี้ สรุปได้ว่า เราไม่มีวันรวย หากเราไม่กล้าเสี่ยง และไม่มีทางรวยจริงๆ ถ้ามัวแต่ทำงานให้คนอื่นนอกจากทำงานให้ตัวเอง 

         ยังไม่ต้องรีบร้อนไปลาออกจากงาน แล้วไปเป็นเถ้าแก่กันหมด เพราะมันก็มีข้อยกเว้นบ้าง และหากแห่ไปเป็นเถ้าแก่กันหมด เถ้าแก่ก็ไม่มีแรงงานสิ 

         เพราะยังมีถึง 46% อันเป็นสัดส่วนสูงที่สุด ที่รวยเพราะได้กำไรในการลงทุนในหลักทรัพย์ (Capital gain) 
หมายความว่าเป็นลูกจ้างเขาก็ลงทุนได้ใช่ไหม 

         ใช่ หากกล้ารับความเสี่ยงในการลงทุน 

         เป็นลูกจ้างเขา ถ้าเอาแต่ฝากเงินอย่างเดียว หรือมัวแต่ลงทุนในพันธบัตร ตราสารหนี้ ไม่รวยแน่ๆ และอาจจะไม่พอใช้ในบั้นปลายชีวิตเสียด้วยซ้ำ 

         ทำไมล่ะ 

         ก็เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับมันจะถูกเงินเฟ้อกินไปหมดน่ะสิ

         Jim Cramer เจ้าของและผู้จัดทำรายการ Mad Money ช่อง CNBC บอกว่า “หุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนอื่นทุกชนิด (อย่ากลัวความเสี่ยงจนไม่กล้าลงทุนระยะยาวในหุ้น) และมีหุ้นเป็นพันๆ ตัวในตลาดที่ทำให้เรารวยได้ และไม่เกี่ยวกับงานที่เราทำ (ทำงานอย่างเดียวโดยไม่ลงทุน ไม่รวย)”

         แต่มันก็ยากที่จะรู้ว่าหุ้นตัวไหนจะให้กำไรเรานะ 

         ใช่  ไม่งั้น Charlie Munger มือขวาของคุณปู่ Warren Buffet คงไม่บอกหรอกว่า ถ้าการลงทุนมันไม่ยากสักหน่อย ใครๆ ก็รวยแล้วสิ
แต่หลายคนลงทุนในหุ้นแล้วเจ๊งนะ 

         ก็ใช่ แต่ก็มีอีกหลายคนที่รวยจากหุ้นไม่ใช่หรือ เมื่อเลือกเองไม่เป็น ก็ลงทุนผ่านกองทุนรวมสิ

         อืม ... อยากรวยจัง  แต่กลัวเขาทำขาดทุนน่ะสิ

         ถ้ากลัวๆ อยากๆ อยู่อย่างนี้ ให้ฟังที่คุณปู่ John (Jack) Bogle ผู้ก่อตั้ง Vanguard บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาดูแล้วกัน

         คุณปู่แจ็ค พูดว่า ถ้ารับการขาดทุนในหุ้นสัก 20% ไม่ไหว ก็ไม่ควรไปยุ่งกับหุ้น (ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนในหุ้นต้องเข้าใจและยอมรับได้) 

         แล้วจงตัดสินใจเองว่าเราจะเพียงพอที่แค่ไหน  เพราะบางทีคนที่ดูเหมือนรวยมากๆ ก็เป็นยาจกในสายตาเรา เพราะเขาไม่เคยพอก็มีไม่ใช่หรือ 

วรวรรณ ธาราภูมิ

ข้อมูลจากเว็บไซต์กองทุนบัวหลวง www.bblam.co.th

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

11 สิ่งที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับ Fanpage

1. ขยาย Post ให้กว้างเต็มจอ 
คลิกปุ่มดาวที่มุมขวาบนของโพสต์ที่อยากขยายให้กว้างเต็มจอ (Highlight Post)    แล้วถ้าเมื่อไรจะหดกลับให้เป็นโพสต์ปกติก็ Remove from Highlights  ซึ่งหลายคนคงทราบอยู่แล้ว



 

2. เลือกประเทศและภาษาของผู้ที่จะเห็นโพสต์นั้น
สมมติว่าคุณดูแลแฟนเพจเดียว แต่ต้องเขียนภาษาต่างๆ 5 ภาษา รองรับกลุ่มลูกค้า 5 ประเทศ   จะโพสต์หลายๆภาษาในแฟนเพจเดียวก็กลัวจะไปรกสายตาคนที่อ่านไม่ออก   จะแยกเป้น 5 แฟนเพจก็เพิ่มงานเยอะเกินและจำนวนแฟนก้จะน้อยไป

คำตอบคือฟังก์ชั่นนี้  คือก่อนที่จะโพสต์ ให้สังเกตข้างซ้ายของปุ่ม Post จะมีปุ่ม Public ให้กดแล้วเลือก  Target by: Location/Language.

เท่านี้แฟนเพจเดียวก้รองรับได้สารพัดภาษา โดยคนแต่ละกลุ่มมองเห็นแต่โพสต์ที่ตัวเองเห็นได้   ไม่ต้องไปแยกทำหลายแฟนเพจให้ำนวนแฟนก็ไม่แตกแยกย่อยน้อยเสียเปล่าๆ แถมยังเหนื่อยต้องดูแลหลายเพจอีก



อันนี้แหละ ที่ผมเพิ่งรู้ตอนอ่านบทความ 

3. ปักหมุด “Pin” Posts ไว้อยู่บนสุดตลอดเวลา
แอดมินหลายคนชอบกดปุ่มรูปดาวเพื่อ Hilight โพสต์สำคัญๆให้ขยายกว้างเต็มจอ  โดยนึกว่าจะทำให้มันอยู่บนสุดด้วย แต่ความจริงก็คือการ Hilight นั้นแค่ทำให้กว้างเต็ม แต่ไม่ได้ทำให้อยู่บนสุด

การจะ “ปักหมุด”  ไว้บนสุดตลอดนั้น ต้องกดที่ Edit ตรงปุ่มรูปดินสอ แล้วเลือก Pin to top

และเมื่อจะเอาออกเมื่อไหร่ก็ Unpin From Top ให้โพสต์นั้นกลับไปเป็นโพสต์ธรรมดาๆอยู่ที่เดิม

แต่ถ้าเราไม่ได้ไปทำอะไรมันเลย  พอครบ 7 วัน มันก็จะหลุดจากตำแหน่งกลับไปอยู่ที่เดิมที่ควรจะอยู่



 

4. เลื่อนรูปให้เหมาะกับกรอบ
หลายครั้งที่เราโพสต์รูปใหญ่หน่อยบน timeline  พอมันขึ้นบนนั้นแล้วก็จะถูกตัดขอบออกไป  เพราะ timeline ถูกแบ่งเป้น 2 แถบซ้ายขวา  ถ้าไม่ Hilight โพสต์นั้นล่ะก็ โอกาสหน้าแหว่ง หรือภาพสินค้าแหว่ง ก็สูง

วิธีแก้คือ กดที่ปุ่ม ดินสอ อีกแล้ว เพื่อจะ edit จากนั้นเลือก Reposition Photo แล้วคลิกหรือทัชค้างที่รูปแล้วขยับไปมาให้พอดีไม่แหว่งเท่าที่จะทำได้  จากนั้นเลือก Save 

 ข้อนี้ใช้กับรูปที่แชร์มาอีกทีได้ด้วย

 

5. ปิดรับข้อความ Messsage
ถ้าเป้นแฟนเพจธุรกิจ  หรือองค์หรหน่วยงานที่ต้องบริการผู้คน ข้อนี้เป็นข้อที่ไม่แนะนำให้ทำอย่างยิ่ง  แต่ถ้าเป้นเพจลักษณะอื่นๆที่จะไม่รับข้อความจริง ก็ทำได้โดย …

ไปที่มุมด้านบนขวาของหน้าเพจที่เราแอดมิน (โซน Admin Panel)  เลือก Edit Page แล้วเลือก Manage Permissions   

ในหน้านั้น มองลงไปที่ตัวเลือก  Message  แถวกลางๆหน้า  เอาเครื่องหมายติ๊กถูกตรง Show “Message” button on [Your Brand] ออกไป  เท่านี้ fan ๆ ก็จะไม่สามารถส่งข้อความหลังไมค์มาถึงแอดมินได้



 

6. แชร์เพจอื่นบนเพจเรา

บางครั้งเราจะแชร์เพจอื่นๆบนหน้าเพจเรา เป็นการแชร์เพจนั้นทั้งเพจ ไม่ใช่แชร์เแพาะโพสต์หนึ่งๆ

ไปที่เพจอื่นที่เราจะแชร์   กดปุ่มรูปฟันเฟืองเล็กๆ แถวๆมุมบนขวา

กด Share แล้วเลือก “On Your Pages” เลือกเพจที่จะไปโพสต์บนนั้น แล้วพิมพ์คำอธิบายเพิ่มไปได้เลย

ข้อนี้อาจใช้เวลาที่เราไปตกลงกับเพจอื่นๆที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน ว่าจะแลกแชร์กันเพื่อเพิ่มจำนวน Like  หรือใช้เมื่อจะแชร์เพจอื่นๆใหม่ๆในเครือเดียวกัน



 

7. ทำ Poll
สังเกตเหนือช่องโพสต์ข้อความใหม่  จะมี 3 ปุ่มคือ Status กับ Photo / Video และ Event, Milestone + ให้เลือก Event, Milestone +  แล้วเลือก Question.

จะตั้งคำถามไว้ แล้วให้คนมาเพิ่มคำตอบไปเรื่อยๆก็ได้ หรือจะตั้งช้อยส์โดย Add Poll Options ก็ได้ เพื่อให้คนโหวตกัน



 

 
8. เพิ่ม Favorites Box (เดิมคือ tab)
Tab เดิมๆกลายเป็น Favorites Box เช่น Note หรือ Video โดยพื้นฐานแล้วจะมี Photo , Likes ถ้าเจอกรอบไหนว่างๆก็กด + แล้วเลือกเพิ่มได้เลย เช่น Notes บทความหรือบล็อก

แต่ถ้าไม่เห็นกรอบว่างเลย ให้กดลูกศรชี้ลงขวาสุด ก็จะเห็นในแถวที่สองลงมาเอง



 

9. ดูทุกโพสต์ที่เกิดขึ้นบน Timeline แบบง่ายๆเร็วๆ
ถ้าอยากจะไล่ดูโพสต์ย้อนหลัง ทั้งของเพจเอง และของแฟนๆ บนเพจเราแบบง่ายๆเร็วๆไม่ต้องดูสวยงามแบบ timeline ปกติล่ะก็   กดที่ Edit Page แล้วเลือก Use Activity Log

จากนั้นถ้าคลิก All ด้านบนขวา ยังเลือกดูเฉพาะโพสต์บางอย่างได้ด้วย  ตามรูป …



 

10. เลือกโปรโมทเพจอื่นๆในกรอบ Likes 
ไม่ได้มีแต่ คน (profile) เท่านั้นที่ Like Page ต่างๆได้  เพราะเพจก็ Like เป็นแฟนกันเองได้  

แล้วจากนั้นเพจต่างๆที่เราแอดมินไปกดไลค์ในฐานะเพจ ก็จะไปรวมกันในกรอบ Likes ทางขวา

ซึ่งกรอบนี้เราสามารถจัดเรียงได้ว่าจะโชว์อะไรก่อนหลัง  โดยไปที่ Edit Page เลือก Update Info แล้วเลือก Featured คลิกที่ Edit Featured Likes เลือกเพจที่เราอยากให้โชว์ในกรอบนี้ แล้ว Save จากนั้นมันจะโชว์ทีละ 5 เพจ ถ้าเราเลือกไว้มากกว่านั้นก็จะหมุนเวียนกันมาโชว์

กรอบนี้มีประโยชน์ในการโปรโมทเพจอื่นๆในเครือ หรืออาจทำข้อตกลงกันอย่างไรก็แล้วแต่  เช่นเพจเปิดใหม่ มี 200 แฟน อาจไปตกลงขออยู่ในกรอบ Likes ของเพจที่มี 5 หมื่นแฟน



 

11. เอากรอบ “Recent Posts by Others” ออก
ปกติในไทม์ไลน์จะเห็นแต่โพสต์ของเพจเอง  โดยโพสต์ของแฟนๆจะไปรวมกันในกรอบ “Recent Posts by Others” 

ในบางเพจบางสถานการณ์ อาจจะอยากถอดกรอบนี้ออกก่อน  คือคนมาโพสต์ก็โพสต์ได้ เราตอบได้ แต่ไม่โชว์ในหน้าไทม์ไลน์ ก็ทำได้โดย …

เลือก Edit Page ใน Admin Panel ที่เดิมเหมือนข้อบนๆหลายข้อ จากนั้นเลือก Update Info แล้วกด Manage Permissions

ถัดจาก Post Visibilityให้ติ๊กเอาเครื่องหมายถูกออกไปตรงที่   ”Recent Posts by Others” on the top of [Your Brand]“



credit :  mashable.com
special thank: แปลไทยโดย  marketingoops.com

ทดลองขับ CHEVROLET SPIN

การทดสอบขับขี่ Chevrolet Spin ยนตรกรรม MPV ราคาไม่แพงไม่ถูกรุ่นล่าสุดจากค่ายโบร์ไท สมรรถนะ ประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าคุ้มราคา ชอบไม่ชอบตรงไหน เชิญติดตาม…
Chevrolet Thailand เชิญสื่อมวลชนร่วมลงทดสอบรถยนต์แบบครอบครัวรุ่น Spin ซึ่งเข้ามาทำตลาดต่อจาก Safira ยนตรกรรมแนว MPV ที่เน้นปริมาตรความจุของห้องโดยสาร หลังจากที่ Safira เคยสร้างยอดขายได้กว่า 10,000 คัน ทางผู้บริหารในค่าย GM-Chevrolet เห็นช่องว่างในการทำตลาดสำหรับรถยนต์ประเภทนี้ในเมืองไทย จึงได้สั่งนำเข้ารถยนต์รุ่น Spin จากประเทศอินโดนีเซียเพื่อเสริมสร้างยอดขาย หลังจากเปิดตัวไปเมื่อเดือนมิถุนายน รถ Chevrolet Spin ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนที่ต้องการรถยนต์แบบ MPV เป็นจำนวนมาก เนื่องจากรถยนต์ประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นรถนำเข้าที่มีราคาค่าตัวค่อนข้างสูง มีเพียง Suzuki Ertiga เท่านั้นที่เป็นคู่แข่งเนื่องจากมีราคาค่าตัวเพียงแค่ 680,000 บาท ส่วน Spin รุ่น LTZ คันทดสอบที่กำหนดราคาขาย 762,000 บาท มีดีมีด้อยกันไปคนละแบบแต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ใกล้เคียงกันมาก ทั้งความอเนกประสงค์ของพื้นที่ใช้สอย อุปกรณ์และวัสดุรวมถึงแรงม้าและสภาพของการขับขี่
ทีม พีอาร์ของ Chevrolet กำหนดเส้นทางการทดสอบรถรุ่น Spin ให้กับสื่อมวลชนสายยานยนต์ โดยจัดการขับทดสอบแบบกลุ่มวิ่งตามกันเป็นขบวนจากกรุงเทพมหานครไปยังหัวเมือง ท่องเที่ยวชายทะเลที่งดงามของจังหวัดระยอง เช้าของวันที่ 27 มิถุนายน 2556 เวลา 09.45 น. ขบวนรถทดสอบ Spin ทั้ง 10 คันซึ่งเป็นรุ่น LTZ เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ทั้งหมดออกสตาร์ตจากด้านหน้าของอาคารเซนเตอร์พอย์ทบริเวณซอยแบร์ริ่ง มุ่งหน้าขึ้นทางยกระดับบูรพาวิถี บางนา-ชลบุรี ตัดข้ามไปยังเส้นมอเตอร์เวย์แล้วเลี้ยวซ้ายออกไปที่แยกบ้านบึง ใช้เส้นทางหลวงจังหวัดบ้านบึง-แกลง แล้วไปสิ้นสุดการทดสอบในวันแรกที่โรงแรมแมริออท ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับหาดแม่พิมพ์ รวมระยะทางในการทดสอบวันแรก 200 กิโลเมตร ส่วนวันที่สองซึ่งต้องวิ่งกลับกรุงเทพมหานครเป็นการวิ่งแบบฟรีรันตัวใครตัว มันซึ่งมีระยะทางขากลับพอๆ กันกับขาไป ไม้แรกเป็นหน้าที่ของคุณสมบัติ วัฒนวิไลกุล หรือคุณเล็ก จากหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ซึ่งมักจะร่วมในการขับทดสอบกับผมอยู่เสมอ ช่วงแรกที่จะต้องขับจากกรุงเทพฯ ไปยังปั๊ม ปตท. ในอำเภอบ้านบึงซึ่งเป็นจุดแวะพักที่แรกมีระยะทางประมาณ 95 กิโลเมตร โดยมีผมนั่งโดยสารบนเบาะตอนหน้าเพื่อจับอาการของเจ้า Spin ขณะทำการวิ่งทางไกลเพื่อค้นหาสมรรถนะและประสิทธิภาพของตัวรถเพื่อนำมารีวิว เป็นข้อมูลสำหรับการขับทดสอบในครั้งนี้
ห้องโดยสารที่เต็มไปด้วยพลาสติกกับโทนสีน้ำตาลของ Spin บ่งบอกตัวตนถึงระดับของราคาได้เป็นอย่างดี ตำแหน่งของการนั่งที่เบาะคู่หน้าทั้งผู้โดยสารและคนขับค่อนข้างสูงไปสักนิด ความสูงโด่งอย่างที่เคยบอกไว้ว่าเกิดจากการออกแบบเพื่อขยายพื้นที่ใช้สอย ภายในห้องโดยสารให้กว้างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อารมณ์ของการนั่งโดยสารไม่แตกต่างจาก MPV ขนาดกะทัดรัดทั่วไป เบาะหุ้มด้วยผ้านั่งได้สบายเนื้อสบายตัวพอสมควรแต่ไม่ถึงกับนุ่มนิ่มจนหลับคาเบาะ ทัศนวิสัยมุมมองรอบคันค่อนข้างโปร่งโล่ง มีเพียงเสาท้ายเท่านั้นที่จะบดบังแนวสายตาอยู่บ้าง กระจกบังลมบานหน้าที่มีขนาดของความกว้างมากกว่าซีดานคันเล็ก และท่านั่งที่สูงราวกับกำลังนั่งอยู่ในรถ 6 ล้อ ทำให้การมองเห็นไกลกว่ารถเก๋งทั่วไปอยู่พอสมควร เมื่อขึ้นทางยกระดับบูรพาวิถี การส่งถ่ายกำลังรวมถึงการตัดต่อขึ้น-ลงของเกียร์ออโต้ 6 สปีดมีความลื่นไหลใช้ได้ มันจะมีอัตราทดที่ครอบคลุมแต่ไม่ได้เน้นแรงบิดจากเครื่องยนต์มากมายอะไร เพราะเป็นเครื่องตัวเล็กแรงน้อย เมื่อจับอาการของการขับทางไกล เจ้า Spin จะออกมาในแนวเรื่อยๆ มาเรียงๆ มีระดับของย่านกำลังแค่พอได้อาศัย จากขนาดของตัวถังและน้ำหนักตัว 1.2 ตันบวกกับเชื้อเพลิงเต็มถังและผู้โดยสารซึ่งเป็นผมกับสัมภาระอีกนิดหน่อย การทรงตัวเมื่อวิ่งที่ความเร็วเดินทางบนตัวเลข 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะมีความเหมาะสมกับตัวรถมากที่สุด นั่งไปเรื่อยๆ คุณจะเริ่มชินกับความรู้สึกใน Chevrolet Spin ซึ่งคล้ายกับ MPV ราคาประหยัดทั่วไป ทั้งความรู้สึกและสัมผัสที่ได้รับจากตัวรถ
11.20 น.รถทดสอบ Spin และรถของเจ้าหน้าที่ Chevrolet Thailand ทั้งหมดก็เลี้ยวเข้ามายังปั๊ม ปตท. ในอำเภอบ้านบึงซึ่งเป็นจุดแวะพักจุดแรกเพื่อแวะเข้าห้องน้ำและทำการสลับสับเปลี่ยนคนขับ ผมเริ่มขับทดสอบเจ้า Spin ต่อจากคุณเล็กที่จุดนี้โดยยังเหลือระยะทางให้วิ่งทดสอบใช้ช่วงวันแรกอีก 114 กิโลเมตร จากปั๊ม ปตท. บ้านบึงไปยังโรงแรมแมริออทระยอง ออกจากปั๊มได้ไม่ไกลนัก ขบวนแตกออกเป็นสองส่วน ขบวนแรกที่ใช้ความเร็วสูงวิ่งล่วงหน้าไปยังร้านอาหารในแหลมแม่พิมพ์เพื่อแวะรับประทานอาหารกลางวัน ส่วนผมซึ่งเกาะอยู่ในกลุ่มรถช้ากลุ่มที่สองใช้ความเร็วเดินทางที่ 110 – 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล่นตามไปเรื่อยๆ โดยรั้งอยู่ที่ท้ายขบวนตลอดเวลา เนื่องจากไม่ต้องการโดนไล่จี้ท้ายหรือต้องเร่งความเร็วเพื่อตามรถนำให้ทันสภาพการควบคุมใน Chevrolet Spin พวงมาลัยออกแนวดึงมือตามสไตล์รถยนต์ในค่าย Chevrolet ระบบบังคับเลี้ยวที่ใช้ปั๊มเพาเวอร์ไฟฟ้าให้สัมผัสที่ดีในระดับน่าพอใจ ระยะของการหมุนตรงกึ่งกลางถูกปรับตั้งมาเพื่อใช้แค่การประคองไม่ต้องแต่ง หรือขืนพวงมาลัยไปตามเส้นทางกันให้มากเรื่อง ที่ไม่ชอบคือท่านั่งที่สูงโด่ง แม้จะปรับเบาะคนขับซึ่งใช้การปรับด้วยมือ ซึ่งผมกดเบาะลงสุดๆ แล้ว แต่มันก็ยังคงสูงอยู่ดี การออกแบบในลักษณะดังกล่าวทำให้พื้นที่ในการวางเท้าของผู้โดยสารด้านหลังคน ขับมีเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ความสูงระดับ 1683 มิลลิเมตร ทำให้พื้นที่เหนือศีรษะมีเหลือเพียงพอ ซึ่งจะช่วยทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดยามต้องขับกันทางไกลๆ แบบนี้ ผมวิ่งอยู่ในเลนรถช้าที่เลนด้านซ้ายโดยทิ้งระยะห่างจากรถคันนำอยู่พอสมควร เนื่องจากไม่ต้องการใช้เบรกแบบหนักๆ หากขับจี้ท้ายรถคันนำแล้วเกิดมีการเบรก แบบกะทันหัน ความปลอดภัยในการทิ้งระยะห่างที่คนใช้ถนนควรใส่ใจจะทำให้การเดินทางไปถึงจุด หมายได้อย่างโปร่งโล่งสบายไม่เครียดเหมือนกับการขับทดสอบแบบซัดกันไปตลอดทาง จากสภาพการขับซึ่งรถทดสอบรุ่นนี้เป็นรถแบบครอบครัวที่ไม่ค่อยเน้นในเรื่องของการทำความเร็วนั่นเอง
เครื่องยนต์ เบนซินแถวเรียง 4 สูบ ความจุ 1485 ซีซี มีย่านของกำลังแค่พอได้อาศัยจากเรี่ยวแรง 107 แรงม้า มาในรอบเครื่องสูงปรี๊ดที่ 6,000 รอบต่อนาที การเร่งแซงต้องกะระยะเผื่อเหลือเผื่อขาดให้ดีเพื่อความปลอดภัย อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ที่ 12.45 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดผมไม่กล้าลองวิ่งไปให้ถึงเนื่องจากความเป็นรถยนต์ อเนกประสงค์ที่มีสัดส่วนของความสูงมากกว่ารถซีดานและมีขนาดของล้อแค่ 15 นิ้ว ยางติดรถไซส์ 195/65/R15 ให้การยึดเกาะในระดับที่พอรับได้ไม่ได้โดดเด่นโดนใจอะไร รวมถึงการเก็บเสียงแปลกปลอมจากภายนอกก็ทำได้ในระดับที่ปกติ เสียงของลมปะทะกับตัวถังและเสียงของยางที่บดไปบนถนนจะดังลอดเข้ามาให้พอได้ยินที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรเป็นต้นไป การส่งถ่ายกำลังของชุดเกียร์อัตโนมัติเมื่อลองขับแบบลากรอบ จะพบว่าตัวรถจะไต่ความเร็วขึ้นไปแบบเรื่อยๆเนื่องจากใช้เครื่องยนต์ตัวเล็ก เพียงแค่ 1.5 ลิตร เมื่อยัดสัมภาระและคนโดยสารแบบเต็มคันมันอาจจะออกอาการอืดๆ อยู่บ้าง ซึ่งเป็นปกติของรถยนต์แบบนี้ที่วางเครื่องยนต์ตัวเล็กความจุน้อย แต่มีมิติของตัวถังใหญ่โตขึ้น อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงประมาณ 12.5 กิโลเมตรต่อลิตร เป็นการขับแบบไม่เน้นอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงหรือการถนอมคันเร่งใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งมีทั้งการจอดเดินเบา การลากรอบยาวๆ หรือการวิ่งด้วยความเร็วคงที่ คันเร่งไฟฟ้ามีน้ำหนักที่ดี ไม่เบาหรือหนักจนเกินไป ส่วนการถ่ายเทมวลในโค้งต้องลดความเร็วหากใส่เข้ามาเร็วเกิน เนื่องจากสภาพตัวถังของรถรุ่นนี้มีสัดส่วนความสูงที่มากกว่ารถแบบซีดาน นั่นเอง
อาการของการโคลงตัว เมื่อต้องหักพวงมาลัยเข้าสู่ทางโค้งแบบสลับซ้าย-ขวา มีการโคลงตัวให้สัมผัสกันอยู่บ้างแต่ก็อยู่ในอาการที่พอรับได้ คุณไม่ควรใช้ความเร็วมากเกินไปบนรถยนต์ประเภทนี้ เมื่อต้องขับขี่เดินทางไปกับครอบครัวในวันหยุดพักผ่อน ความเร็วที่มีความเหมาะสมอยู่ที่ 120-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และการทิ้งระยะห่างจากรถคันข้างหน้าจะทำให้การขับทางไกลมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น มองให้ไกลเข้าไว้และเตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน ซึ่งอาจต้องเบรกหรือหักหลบรถที่เข้ามาในเส้นทางของคุณ การเตรียมความพร้อมที่ดีสำหรับการขับขี่ทางไกลรวมถึงการจอดพักเป็นช่วงๆ จะช่วยทำให้คุณขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและทำให้คุณสดชื่นได้ตลอดเส้นทาง สำหรับการอาศัยอยู่ในห้องโดยสารของเจ้า Spin มีระดับของความพึงพอใจที่ใช้ได้เมื่อเทียบกับราคาค่าตัว 7.6 แสนบาท ทั้งการขับขี่หรือการนั่งโดยสารไปบนรถรุ่นนี้ ยนตรกรรม MPV ในตลาดรถยนต์ของประเทศไทยซึ่งมีตัวเลือกไม่มากนักหากไม่ต้องการรถที่มีราคา ทะลุไปเฉียดล้านก็มีเพียงแค่เจ้า Chevrolet Spin กับคู่แข่ง Suzuki Ertiga สองรุ่นสองคันเท่านั้นที่เป็นทางเลือก ส่วน Honda Freed ซึ่งใช้ประตูแบบสไลด์ไฟฟ้าทั้งสองข้าง มีราคาเฉียด 1 ล้านบาทจึงทำให้มันแพงกว่าเจ้า Spin และ Ertiga อยู่พอสมควรเลยทีเดียว
ขบวนรถทดสอบ Chevrolet Spin เดินทางมาถึงโรงแรมที่พักเอาเมื่อเวลาประมาณ 14.10 น. หลังจากนั้นจึงมีกิจกรรมสนุกๆ ที่ทางทีมพีอาร์ของค่าย Chevrolet ได้จัดขึ้นที่บริเวณชายหาดด้านหน้าของโรงแรมแมริออท เป็นการฝึกเล่นเซิร์ฟบอร์ดในทะเลหน้าอ่าวแม่พิมพ์โดยทาง Chevrolet ได้จัดครูฝึกเซิร์ฟบอร์ดชาวต่างชาติถึง 4 คนมาคอยให้คำแนะนำวิธีการเล่นที่ถูกต้อง ลืมบอกไปว่าช่วงขามานั้นรถทุกคันบรรทุกเอาเสิร์ฟบอร์ดมาด้วย การร่วมทำกิจกรรมในช่วงบ่ายจนถึงเย็นสร้างความสนุกสนานให้กับสื่อมวลชนหลาย ท่านที่มีความชื่นชอบกีฬาทางน้ำ เล่นกันตั้งแต่บ่ายสามโมงจนค่ำก็ยังไม่มีใครยอมเลิกรา
โดยภาพรวมแล้วนั้น สรุปสภาพการขับขี่ควบคุมรถยนต์ MPV รุ่น Spin ของ Chevrolet ได้หลักใหญ่ใจความว่า มันคือรถยนต์แบบครอบครัวที่มีราคาไม่แพงนัก อุปกรณ์มีให้เท่าที่จำเป็นและอยู่ในระดับของการยอมรับได้ ภายในมีพลาสติกเกรดกลางๆ ประดับประดาอยู่ทั่ว อุปกรณ์พอได้อาศัยไม่ได้หรูหราอะไรกันมากมาย ส่วนการขับขี่นั้น เรื่องการทรงตัวโดยรวมมีความชัดเจนในแบบ MPV ให้ความมั่นใจได้พอสมควร พวงมาลัยออกแนวขืนเล็กๆ แต่ก็แม่นยำใช้ได้ เครื่องยนต์มีขนาดเล็กและมีความประหยัด ส่วนการเค้นกำลังเพื่อเร่งความเร็วหรือแซงต้องทำใจกันอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ ชักช้าอืดอาดจนน่าเบื่อ ระบบส่งกำลัง 6 สปีดออโต้ลื่นไหลและใช้งานในโหมดชิฟเกียร์เองได้จริง การยึดเกาะกับผิวถนนอยู่ในระดับปานกลาง ไม่แย่แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นโดนใจ ซึ่งเกิดจากรูปแบบของตัวรถที่มีสัดส่วนความสูงมากกว่าปกติ เครื่องเสียงและลำโพงใช้งานพอได้ ระบบปรับอากาศแบบปุ่มหมุนใช้งานได้ง่ายรวมถึงการมีช่องแอร์ด้านหลังเพื่อ ทำให้ความเย็นกระจายตัวอย่างรวดเร็วเหมาะกับสภาพอากาศแบบเมืองร้อนของไทย
ราคาค่าตัวกับสมรรถนะที่ออกแนวกลางๆ หากคุณสนใจต้องไปขอลองทดสอบขับขี่ด้วยตัวเองจะเป็นการดีที่สุด พื้นที่ใช้สอยที่มากกว่ารถเก๋งเล็กๆ อาจทำให้คุณพึงพอใจได้บ้าง อย่างที่กล่าวไว้ว่ารถยนต์ประเภทนี้ไม่ควรใช้ความเร็วสูงขณะขับขี่ เมื่อใช้ความเร็วที่เหมาะสม เจ้า Spin จะแสดงถึงประสิทธิภาพในการวิ่งทางไกลออกมาให้ได้รับรู้ แม้เบาะโดยสารจะนั่งได้ไม่ค่อยสบายนักเมื่อต้องนั่งขับกันยาวๆ แต่ราคาค่าตัว 7.6 แสนบาทได้เข้ามากลบเกลื่อนเรื่องดังกล่าว ความอเนกประสงค์ของเบาะที่พับได้อย่างหลากหลายเพิ่มคุณค่าในตัวของมันเอง เมื่อคุณเป็นพวกชอบขนทั้งคนหรือสิ่งของ อย่างไรก็ตาม Chevrolet Spin รถ MPV ขนาดกะทัดรัดกำลังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เมื่อเปรียบเทียบสมรรถนะที่ได้รับจากรถคันนี้ อุปกรณ์และสภาพการขับขี่ควบคุมที่สมกับราคา โดยมีตัวเลขเจ็ดแสนกลางๆ ที่จะสมเหตุสมผลหรือไม่นั้น อยู่ที่การตัดสินใจของคุณเอง ทั้งหมดที่กล่าวมาสำหรับรถคันนี้คือจุดขายที่มีความชัดเจนของมันนั่นเอง.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom

ที่มาของข่าว http://www.thairath.co.th/content/life/355161