
คู่มือการเลือกซื้อและติดตั้งพื้นไม้เทียม WPC: ปัจจัยสำคัญสำหรับเจ้าของบ้าน
เมื่อเจ้าของบ้านทราบถึงข้อดีที่เหนือกว่าของ พื้นไม้เทียม WPC (Wood Plastic Composite) แล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุดและการวางแผนการติดตั้งอย่างถูกต้อง เนื่องจากคุณภาพและเทคนิคการติดตั้งที่แตกต่างกันจะส่งผลโดยตรงต่ออายุการใช้งานและความสวยงามของพื้น บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคควรพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อและติดตั้งพื้นไม้เทียม
4 ปัจจัยในการตัดสินใจเลือกซื้อพื้นไม้เทียมคุณภาพสูง
การเลือกพื้นไม้เทียมที่ดีไม่ได้พิจารณาแค่รูปลักษณ์เท่านั้น แต่ต้องประเมินถึงองค์ประกอบทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับความทนทานในระยะยาว:
เทคโนโลยีการผลิต (Capped vs. Uncapped):
Uncapped WPC (WPC ทั่วไป): เป็นรุ่นพื้นฐานที่ส่วนผสมผงไม้และโพลีเมอร์อยู่บนผิวหน้าโดยตรง มีราคาย่อมเยา แต่มีความเสี่ยงในการซีดจางของสีและเกิดรอยขีดข่วนได้ง่ายกว่า
Capped WPC (Co-Extrusion): เป็นเทคโนโลยีที่แนะนำที่สุดสำหรับงานภายนอก โดยมีการเคลือบผิวด้วยชั้นโพลีเมอร์ประสิทธิภาพสูง (Shielding Layer) หุ้มแกนกลางไว้ทั้งหมด ชั้นหุ้มผิวนี้ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกัน ซึ่งช่วยเพิ่มความทนทานต่อการซีดจางของสีจากรังสี UV การเกิดคราบสกปรก และรอยขีดข่วนได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่า แต่คุ้มค่าในระยะยาว
มาตรฐานการป้องกัน UV และการรับประกัน (UV Stability and Warranty): เนื่องจากพื้นไม้เทียมติดตั้งภายนอกอาคาร จึงต้องสัมผัสกับรังสี UV ตลอดเวลา เจ้าของบ้านควรสอบถามถึงมาตรฐานการป้องกัน UV และระยะเวลาการรับประกันจากผู้ผลิต ซึ่งผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงสำหรับการใช้งานภายนอกควรมีระยะเวลารับประกันปัญหาการซีดจางและการแตกร้าวจากการใช้งานอย่างน้อย $10$ ปีขึ้นไป
รูปแบบหน้าตัด (Solid vs. Hollow):
แบบตัน (Solid Profile): มีความแข็งแรงทนทานสูงสุด รับแรงกระแทกได้ดีกว่า และมีการยืดหดตัวตามอุณหภูมิน้อยกว่า เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการใช้งานหนัก หรือบริเวณที่ต้องการความรู้สึกมั่นคงใต้เท้าสูง
แบบกลวง (Hollow Profile): มีน้ำหนักเบากว่าและมีราคาย่อมเยา เหมาะสำหรับงานที่ไม่ได้รับน้ำหนักมาก หรือพื้นที่ที่ต้องการประหยัดงบประมาณ ควรตรวจสอบโครงสร้างแกนกลางและผนังด้านในว่ามีความหนาเพียงพอเพื่อป้องกันการยุบตัว
การระบายน้ำและการยึดเกาะ (Drainage and Grip): สำหรับพื้นไม้ภายนอกที่ต้องเผชิญกับน้ำฝนหรือน้ำจากสระว่ายน้ำ ควรเลือกรุ่นที่มีร่องหรือพื้นผิวสัมผัสที่ช่วยระบายน้ำได้ดี และมีค่าการยึดเกาะ (Grip) ที่สูงเพื่อป้องกันการลื่นล้ม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญด้านความปลอดภัยของทุกคนในครอบครัว
การติดตั้งอย่างถูกวิธี: หัวใจสำคัญของพื้นไม้เทียม
แม้ว่าพื้นไม้เทียมจะมีคุณสมบัติทนทานสูง แต่หากติดตั้งไม่ถูกต้อง ก็อาจเกิดปัญหาการบิดงอหรือการแตกร้าวได้ การติดตั้งที่ได้มาตรฐานมีข้อพิจารณาดังนี้:
โครงสร้างรองรับ (Substructure): โครงสร้างรองรับ (ตง) ควรทำจากวัสดุที่ทนทานต่อสภาพอากาศเช่นเดียวกับพื้นไม้เทียม (เช่น อะลูมิเนียม หรือ WPC Joists) และต้องมีการเว้นระยะห่างระหว่างตงที่เหมาะสม (ไม่เกิน $30-40$ เซนติเมตร) เพื่อป้องกันการแอ่นตัวของแผ่นพื้น
การเผื่อระยะขยายตัว (Expansion Gap): พื้นไม้เทียมมีการยืดหดตัวตามอุณหภูมิ แม้จะน้อยกว่าไม้จริง แต่ก็ยังคงต้องมีการเว้นช่องว่างเล็กน้อยระหว่างปลายแผ่นและขอบผนัง รวมถึงระหว่างแผ่นต่อแผ่นตามคำแนะนำของผู้ผลิต การติดตั้งที่แน่นเกินไปจะนำไปสู่การโก่งตัวเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
ระบบยึดติดแบบซ่อนหัวสกรู (Hidden Fasteners): ควรใช้คลิปล็อก (Clips) ที่ออกแบบมาสำหรับพื้นไม้เทียมโดยเฉพาะในการยึดติดแผ่นพื้นกับตง วิธีนี้ช่วยให้พื้นผิวเรียบเนียน สวยงาม และช่วยให้แผ่นพื้นสามารถขยายตัวและหดตัวได้อย่างอิสระโดยไม่ทำให้เกิดความเสียหาย
การดูแลรักษาพื้นไม้เทียมอย่างง่ายดาย
การดูแลรักษา พื้นไม้เทียม WPC ง่ายกว่าไม้จริงมาก แต่การทำความสะอาดอย่างถูกวิธีจะช่วยรักษาความสวยงามให้คงทน:
ทำความสะอาดประจำวัน: ใช้ไม้กวาดหรือเครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดฝุ่นและเศษผงเป็นประจำ
คราบสกปรกทั่วไป: ทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นผสมสบู่อ่อน ๆ และใช้แปรงขนอ่อนขัดเบา ๆ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์รุนแรงหรือสารฟอกขาว
ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงที่มีหัวฉีดขนาดเล็กและแรงดันสูงเกินไปบนพื้นผิวโดยตรง เพราะอาจทำให้ผิวเคลือบเสียหายได้
สรุป
การเลือก พื้นไม้เทียม ที่มีคุณภาพสูงและเหมาะสมกับการใช้งานภายนอกอาคาร ถือเป็นการตัดสินใจที่สร้างความคุ้มค่าในระยะยาว เจ้าของบ้านควรเน้นที่เทคโนโลยี Co-Extrusion, การรับประกันที่ยาวนาน และการติดตั้งที่ถูกต้องตามมาตรฐาน เพื่อให้ได้พื้นที่สวยงาม ทนทานต่อสภาพอากาศ และบำรุงรักษาง่ายตลอดอายุการใช้งาน












